top of page

ส่งต่อบทเพลงสู่คนรุ่นต่อไป

 

“ประชาชนรุ่นหนึ่งจะกล่าวถึงพระราชกิจของพระองค์ต่ออีกรุ่นหนึ่ง
เขาจะประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
เขาจะกล่าวถึงสง่าราศีแห่งพระสิริของพระองค์
และจะพูดถึงการอัศจรรย์ของพระองค์
เขาจะกล่าวถึงฤทธานุภาพอันน่าครั่นคร้ามของพระองค์
ส่วนข้าพระองค์จะเล่าถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
เขาจะกล่าวถึงความดีอันอุดมของพระองค์
และร้องเพลงยินดีถึงความชอบธรรมของพระองค์”

 

สดุดี 145:4-7 (THSV11)

Relay race baton pass

การรับใช้ของทีมงานนมัสการไม่ได้จบเพียงแค่ “เล่นดนตรี” หรือ “นำเพลง”แต่มันคือการมีส่วนในการสร้าง จิตใจและความเชื่อของคนรุ่นต่อไป
การนมัสการเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการเป็นสาวกของพระคริสต์ ผ่านเพลง คำพยาน และแบบอย่างชีวิตของเรา เรากำลังช่วยให้ผู้อื่นได้ “เห็น” ว่าพระเจ้าทรงเป็นใคร!

 

สดุดีบทนี้บอกเราว่า การนมัสการไม่ควรหยุดอยู่แค่รุ่นเดียวแต่เป็นการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น — ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คนที่รู้ถึงความดีของพระเจ้า ย่อมไม่สามารถเก็บไว้เพียงลำพังได้

พระคัมภีร์บอกว่า “คนรุ่นหนึ่งจะประกาศพระราชกิจของพระองค์ต่ออีกรุ่นหนึ่ง” นี่คือกระบวนการของการเป็นสาวก— เรียนรู้ ดำเนินชีวิต และส่งต่อ ใน 2 ทิโมธี 2:2 เปาโลสอนทิโมธีให้ “มอบสิ่งที่ได้เรียนรู้ให้กับคนที่สัตย์ซื่อวางใจได้” สังเกตไหมครับว่าเปาโลไม่ได้บอกให้สอนกับใครก็ได้ แต่กับ “คนที่เชื่อถือได้” หมายถึงผู้ที่มีวุฒิภาวะและเติบโตในฝ่ายวิญญาณแล้ว!

 

ในฐานะผู้นำหรือผู้รับใช้ในทีมงานนมัสการ เรามีหน้าที่เป็นผู้ดูแลอย่างสัตย์ซื่อ — ทั้งของประทานของเราเอง และชีวิตของคนรุ่นหลังที่พระเจ้ามอบให้เราดูแล
การสอนและฝึกคนรุ่นใหม่เป็นเรื่องสำคัญ แต่เราก็ต้องมี “สติปัญญา” และ “ความอดทน” ในกระบวนการนั้นด้วย

เหมือนกับนักดนตรีที่ต้องฝึกซ้อมก่อนขึ้นเวที ผู้เป็นสาวกของพระคริสต์ก็ต้องใช้เวลาเติบโตในฝ่ายวิญญาณ ก่อนที่จะถูกมอบหมายให้นำผู้อื่น ถ้าเราให้คนที่ยังไม่พร้อมขึ้นนำเร็วเกินไป เขาอาจได้รับแรงกดดันเกินกว่าที่จะรับได้

 

การเติบโตต้องใช้เวลา และ การเป็นสาวกไม่ใช่เรื่องของ “ความเร็ว”แต่เป็นเรื่องของ “ความลึก”

 

เมื่อคนรุ่นต่อไปพร้อม — มีใจสัตย์ซื่อ ถ่อมตัว และรักพระเจ้า นั่นคือเวลาที่เราควร “ปล่อย” ให้เขาได้ออกไปนำ การปล่อยอย่างถูกเวลาไม่ใช่การทิ้ง แต่คือการส่งต่อด้วยความยินดีและคำอธิษฐาน พระเยซูเองก็เป็นตัวอย่างที่ดี พระองค์ใช้เวลาหลายปีกับเหล่าสาวก—สอน แก้ไข และเสริมสร้างพวกเขา จนกระทั่งถึงวันที่พวกเขาพร้อม พระองค์จึงส่งพวกเขาออกไป พระองค์ไม่รีบ แต่ก็ไม่รั้งไว้เกินจำเป็น เพราะพระองค์รู้ว่า “เวลาแห่งความพร้อม” คือเวลาที่การรับใช้จะเกิดผลมากที่สุด

แนวทางปฏิบัติสำหรับทีมของเรา:

  1. ให้คำปรึกษาอย่างตั้งใจ: จับคู่สมาชิกที่มีประสบการณ์กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้คำแนะนำทั้งด้านดนตรีและฝ่ายวิญญาณ

  2. พิจารณาความพร้อม: อย่าดูแค่ความสามารถ แต่ให้ดูผลของพระวิญญาณในชีวิตของเขา (กาลาเทีย 5:22–23)

  3. สร้างพื้นที่ให้เติบโต: ให้โอกาสที่เหมาะกับระดับของแต่ละคน เช่น อธิษฐานในรอบซ้อม แบ่งปันข้อพระคัมภีร์ หรือช่วยนำบางส่วนก่อนขึ้นนำเต็มรูปแบบ

  4. ปล่อยด้วยพร: เมื่อเขาพร้อม ให้ยืนยัน สนับสนุน และอธิษฐานเผื่อเขา

  5. ปกป้องด้วยความรัก: ถ้าเขายังไม่พร้อม ให้พูดด้วยความรัก และใช้เวลาช่วงนั้นช่วยให้เขาเติบโตในพระคริสต์มากขึ้น​​​​​​​​

 

​คำอธิษฐาน:
พระเจ้า ขอบพระคุณที่ทรงมอบทั้งสิทธิพิเศษในการนมัสการ และความรับผิดชอบในการฝึกสอนคนรุ่นต่อไปให้แก่เรา
ขอประทานสติปัญญา ความอดทน และความรัก เพื่อให้เราลงทุนในชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างถูกเวลา
สอนเราให้รู้จัก “รอ” ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่รีบผลักใครขึ้นเวทีเร็วเกินไป และไม่รั้งไว้เพราะกลัวจะสูญเสีย
เมื่อเขาพร้อม ขอให้เราปล่อยเขาออกไปด้วยความยินดี เพื่อให้บทเพลงแห่งการสรรเสริญพระองค์ดังต่อไปในรุ่นต่อรุ่น ในพระนามพระเยซูเจ้า อาเมน

คำถามสำหรับการใคร่ครวญ: ​

  • มีใครในทีม หรือคนรุ่นใหม่ที่พระเจ้ากำลังให้คุณลงทุนชีวิตด้วยไหม?

  • คุณอดทนพอไหมที่จะรอให้พระเจ้าทำงานในหัวใจของเขาก่อนที่จะให้เขานำ?

  • คุณรู้ได้อย่างไรว่าคนหนึ่งพร้อมจะเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณมากขึ้น?

  • ชีวิตของคุณเป็นแบบอย่างให้พวกเขาได้เห็นถึงหัวใจของผู้รับใช้หรือไม่?

  • Instagram
  • Facebook
  • YouTube
bottom of page